ก่อนอื่นที่จะไปรู้จักกับทนายเจบี ผมขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ เด็กชายเจมส์บอนด์ กันก่อน เอ๊ะ เด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมชื่ออย่างกับพระเอกหนังฮอลีวู้ด ใช่ครับ นั้นคือชื่อเล่นจริง ๆ ของผมเอง
ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่คุณพ่อตั้งให้ตั้งแต่เกิดเพราะตอนนั้นท่านชอบหนังเรื่อง เจมส์บอนด์ 007 มาก มีแผ่นหนัง Blue Ray เก็บไว้ทุกภาคเลย จึงได้นำชื่อพระเอกหนังที่โด่งดังมาตั้งเป็นชื่อลูกตัวเอง หวังให้ลูกเก่ง ไหวพริบดีแบบพระเอกสะอย่างนั้น และตอนเด็ก ๆ ผมก็ชื่นชอบชื่อนี้มากเพราะไม่เหมือนใครดี
แต่พอโตขึ้นเป็นทนายมาได้ 2 - 3 ปี ชื่อที่เราเคยภาคภูมิใจกับทำให้เรารู้สึกลำบากใจในการที่ต้องแนะนำตัวกับลูกความโดยเฉพาะกับลูกความต่างชาติ ทางยุโรป อเมริกา ว่า "สวัสดีครับผมทนายเจมส์บอนด์ครับ" มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเขินอายมากกว่าการที่ต้องไปยืนเต้นกลางสี่แยกอโศกที่รถติดที่สุดในประเทศเสียอีก มันให้ความรู้สึกเหมือนเวลาที่ผมแนะนำตัวกับคนญี่ปุ่นว่าชื่อ นารูโตะ โนบิตะ อะไรประมาณนั้น
การเอาชื่อตัวละครที่มีชื่อเสียงมาตั้งชื่อจึงเริ่มไม่เข้าท่าสำหรับงานที่เราทำอยู่ ครั้นจะให้ใช้ชื่อ ทนายเจมส์ หรือทนายบอนด์ เฉย ๆ ก็คงจะไม่ได้มีความพิเศษ ดูซ้ำกับคนอื่นประมาณหลานแสนทั่วประเทศ ไม่น่าเป็นที่จดจำ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองเป็น ทนายเจบี น่าจะดีกว่า และใช้ชื่อนี้นับแต่นั้นมา
ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาของชีวิตที่สำคัญของผม รวมถึงผู้อ่านทุกคนที่จะต้องเคยผ่านมันมาอย่างแน่นอน การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต อย่างการที่ต้องเลือกคณะ มหาลัย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตที่ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเลือกทางเดินครั้งสำคัญ ช่วงเวลาเหล่านั้นทำเอาผมสับสนอยู่หลายครั้ง
เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัว เจอเพื่อนที่เขามีความฝัน และเป้าหมายชัดเจนมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่สำหรับผมที่ตอน ม.4 เป็นเด็กนักเรียนสายวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนยอดนักสู้ในสมัยนั้น เแต่ก็ไม่อาจหยุดความฝันของผมที่อยากจะเป็นหมอ จนกระทั่งต้องถูกขัดความฝันด้วยคำพูดของคนที่เป็นครูในตอนนั้น "หน้าอย่างเธอเนี้ยนะจะเป็นหมอ" พร้อมกับเสียงหัวเราะของคนทั้งห้อง
คำพูดโดยไม่คิดของเรา อาจไปทำร้ายความรู้สึกและความฝันของใครโดยไม่รู้ตัว จงเก็บคำพูดที่อาจทำร้ายคนอื่นไว้กับตัว และส่งมอบความสุข ความหวัง และความเป็นไปได้ให้กับทุกคน
ในวันนั้นผมยังไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะเปลี่ยนคำดูถูกเหล่านั้นให้กลายเป็นแรงใจ มันทำให้กลับกลายเป็นว่าผมถอดใจ และเริ่มมองหาทางอื่นที่พอจะเป็นไปได้ ความคิดต่อมาที่เข้ามาในหัวคือการที่จะเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เก่งเรื่องคำนวณมาตั้งแต่เด็ก ๆ มักจะได้เกรด 4 ในวิชาประเภทคำนวณ คิดเลขอยู่เสมอ และแน่นอนผมเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเรียนสักเท่าไหร่นัก
ยิ่งถ้าเป็นการอ่านพวกหนังสือการ์ตูน หรือนิยายผมไม่แพ้ใครแน่นอน สมัยเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนปรีชานุศาสน์ จังหวัดชลบุรี ช่วงเลิกเรียนพิเศษที่โรงเรียนวันเสาร์ หรือหลังจากเสร็จพิธีล้างบาปจากโบสถ์ในวันอาทิตย์ ยายผมมักจะปล่อยผมกับน้องทิ้งไว้ในร้านหนังสือดอกหญ้าที่อยู่ติดกับโรงเรียนเลยอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จากนั้นยายก็จะไปเดินเล่นซื้อของเข้าบ้าน แล้วกลับมารับผมกับน้องกลับบ้าน หลังจากที่ผมกลับน้องได้เพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือไปคนละเล่มสองเล่ม แต่ละเดือนยายจะให้เลือกหนังสือที่อยากได้ และอยากอ่านมากที่สุด คนละ 1 เล่ม
หนังสือแต่ละเล่มที่ผมได้อ่าน มันได้เปลี่ยนชีวิตของผมไปที่ละนิด เพียงจุดเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนั้นสะสมมาเรื่อย ๆ เป็นพัฒนาการที่ดีของตัวเองในวันนี้
แต่แล้วความคิดที่จะเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ของผมก็ต้องหยุดชะงักลง ในสมัยนั้นเด็กเชียงใหม่ทุกคนล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายไปที่เดียวกันคือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็เป็นคณะฮอตฮิตที่สุดคณะหนึ่งด้วย ทำให้แค่เพื่อนในกลุ่มก็มีความตั้งใจอยากจะสอบเข้าคณะเดียวกันนี้มากกว่า 10 คนเข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าเกือบทั้งกลุ่ม
ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนทางเรื่องของผมใหม่ซึ่งตอนนั้นผมก็อยู่ ม.6 แล้วไม่มีเวลาให้คิดมากสักเท่าไหร่ ทำให้ผมลองมองสิ่งที่ใกล้ตัวผมมากที่สุดคือคุณพ่อของผมที่เป็นทนายความ
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ฐานะปานกลาง โดยคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเป็นลูกคนโตสุด และมีน้องอีกสามคน โชกุน อิงฟ้า นิวตัน เรียงตาม ๆ กันมา คุณพ่อผมนั้นทำอาชีพทนายความมาตั้งแต่ผมจำความได้ มีครั้งนึงเคยเห็นภาพคุณพ่อตอนอุ้มผมในสมัยที่ยังเป็นเด็กได้ประมาณ 2 3 ขวบ อุ้มผมในชุดรับปริญญาด้วยหน้าตาที่มีความสุขมากๆ ยืนอยู่หน้าป้าย คณะนิติศาสตร์
เรียกได้ว่าสายเลือดการเป็นทนายความผมอาจจะได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย
ผมเติบโตมาด้วยการที่คุณพ่อเป็นเสาหลักที่หารายได้มาเลี้ยงค่าใช้จ่ายในครอบครัวทั้งหมด เขาว่ากันว่ามีลูกหนึ่งคนจนไป 10 ปี แต่นี่คุณพ่อผมมีลูกสี่คน แล้วต้องทำงานหาเลี้ยงลูกคนเดียวด้วยอาชีพทนายความ แต่ท่านก็ทำได้ดีที่สุดในแบบของท่าน มันทำให้คณะนิติศาสตร์เข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของผม ณ ตอนนั้น
หลังจากที่ผมปักธงที่จะสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ได้ ผมก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ในการอ่านหนังสือ เป็นครั้งแรกของชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองอ่านหนังสือจริงจังมาก ๆ ในสมัยนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำหรับปีการศึกษา 2558 ของเด็ก 17 จังหวัดในภาคเหนือ จะถูกเรียกว่า การสอบโควต้ามช ซึ่งเป็นการนำคะแนนจากการทำข้อสอบที่ทางมหาลัยจัดทำขึ้นรายวิชามารวม และนำคนที่ได้คะแนนมากที่สุดจำนวนกี่อันดับก็แล้วแต่จำนวนที่คณะเหล่านั้นเปิดรับ โดยสามารถเลือกคณะได้ 2 อันดับ ผมจึงลง อันดับ 1 คณะนิติศาสตร์ และอันดับ 2 คณะรัฐศาสตร์ฯ สาขาการเมืองและการปกครอง ซึ่งเป็น 2 อันดับยอดฮิตสำหรับสายสังคม ที่เด็กทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือต้องมาสอบแข่งขันกัน โดยปีนั้นมีคนลงสมัครสอบเข้าคณะนิติศาสตร์จำนวน 1,368 คน โดยที่มีผู้ผ่านการสอบเพียง 35 คน เท่านั้น คิดเป็น( 2.5% )
ซึ่งในแต่ละปีอัตราส่วนการสอบติดก็จะไม่ต่างกันเท่าไหร่นักเพราะคณะนิติศาสตร์คือจุดหมายของใครหลาย ๆ คนเช่นกัน และด้วยการที่เราไม่ได้จะมุ่งเน้นมาสายนี้ตั้งแต่แรกทำให้ผมต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ในส่วนของวิชาวิทย์ คณิต ที่ต้องสอบนั้นผมได้เปลี่ยนกว่าคนอื่นตรงที่ผมเรียนสายวิทย์ คณิตมาทำให้พื้นฐานค่อนข้างแน่น แต่ผมก็ไม่ประมาทและตั้งใจทำคะแนนให้ออกมาดีมาก ๆ เพื่อชดเชยส่วนอื่นที่เราอาจจะทำได้ไม่ดี ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือ และทำข้อสอบย้อนหลังเป็นสิบ ๆ ปี ในหนังสือเตรียมสอบของผมก็จะมีแต่รอยดินสอที่มีร่องรอยของการเขียน ๆ ลบ ๆ จากการทวนทำข้อสอบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนหลัง ๆ ผมรู้ได้ว่าผมต้องเขียนคำตอบใส่ในกระดาษแยกเพื่อที่จะได้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนหนังสือถึงแม้ผมจะรู้คำตอบดีจากการที่ลองทำข้อสอบบ่อย ๆ แต่สิ่งสำคัญคือผมต้องให้คำอธิบายในทุกคำตอบของตัวเองให้ได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่จากการจำว่าข้อนี้ตอบข้อนี้ แบบนี้ แนวนี้เท่านั้น
ในช่วงที่ใกล้จะถึงวันสอบผมกับเพื่อนมักจะชวนกันไปอ่านหนังสือภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อให้ซึมซับบรรยากาศ และปลุกไฟในตัวเองที่กำลังจะหรี่เพราะการเหนื่อยล้าจากการพยายามอย่างหนักของแต่ละคน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมอ่านหนังสือจนเช้า จนพระอาทิตย์ขึ้น กับเพื่อน ๆ เราอ่านกันจนไม่ทันสังเกตุเห็นหมอกยามเช้าที่อยู่รอบ ๆ ตัวพร้อมกับอากาศที่หนาวและตาที่ค่อย ๆ จะปิดลงเพราะไม่อาจต้านความเหนื่อยล้าไว้ได้ ผมใช้ช่วงเวลาส่วนตอนม.6 ไปกับการอ่านหนังสือทำข้อสอบ ไปค้างบ้านเพื่อน หอเพื่อน แบบนั้นสลับไปมา เพราะผมมีความตั้งใจมาก ๆ ว่าเมื่อถึงวันที่ประกาศผล ผมจะไม่มานั่งร้องไห้เสียใจ มาบ่นกับตัวเองว่าขอโอกาสอีกรอบ ซึ่งในชีวิตนี้เราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสมันจะเข้ามาหาเราอีกเมื่อไหร่ สิ่งที่เราจะต้องทำคือเมื่อมีโอกาสแล้วจงใช้มันอย่างเต็มที่ไม่ต้องมานั่งเสียดายภายหลัง
แม้จะไม่รู้สึกพร้อม 100% สำหรับโอกาสที่เข้ามาในตอนนั้น แต่ผมก็จะใช้ 10% หรือ 20% ที่ผมมีในตอนนั้นให้คุ้มเหมือน 100% แน่นอน เพราะผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสแบบนี้อีกมั้ย และต่อให้มีก็ไม่มีทางที่เราจะพร้อมสำหรับโอกาสแบบ 100% หรอกครับ
จนกระทั่งถึงวันที่ประกาศผล ผมจำบรรยากาศเมื่อวันนั้นได้เป็นอย่างดีเลยเพราะเป็นวันที่ทำให้เด็ก ๆ ม.6 ทั้งเชียงใหม่และอีก 16 จังหวัดที่เหลือทางภาคเหนือ ใจเต้นกันทุกคนอย่างแน่นอน ปกติแล้วผลการสอบจะมีการประกาศทั้งทางเว็บไซต์ และทาง SMS แต่ผมและเพื่อน ๆ ในกลุ่มเลือกที่จะไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อรอดูผลประกาศคะแนนที่จะมีการนำออกมาติดประกาศไว้ที่บอร์ดใต้อาคารแห่งหนึ่งของมหาลัย และมีคนจำนวนมากที่มายืนรอดูผมไปล่วงหน้าก่อนประกาศผลหลายชั่วโมงอย่างใจจดใจจอ
บรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก และหลายหลายอารมณ์ บางคนรู้สึกตื่นเต้น บางคนรู้สึกกังวลใจ บางคนรู้สึกมีความหวัง แน่นอนละครับว่ามันเป็นการสอบแข่งขันไม่ใช่ทุกคนที่จะดีใจไปกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสให้ไปต่อในรอบสัมภาษณ์ และในขณะที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาพร้อมกับแผ่นประกาศผลการสอบติดไปบนบอร์ด เหล่านักเรียนทุกคนวิ่งกรู่กันเข้าไปเพื่อหวังว่าจะมองเห็นชื่อตัวเองที่ติดอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น หลังจากที่ได้ใช้ความพยายามในการแซงตัวผ่านผู้คนไปอยู่สักพักผมก็มองเห็นบอร์ดที่มีป้ายประกาศว่า ผลการสอบคัดเลือกผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์คณะนิติศาสตร์ ผมมองไล่จากด้านล่างของกระดาษขึ้นมาเพื่อมองหาชื่อตัวเอง จนไม่นานก็ได้เห็นชื่อตัวเองอยู่บนนั้น เราเป็น 1 ใน 35 คนที่มีชื่ออยู่ในผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์ ความรู้สึกที่มีคือมันหลั่งไหลออกมาจนเป็นน้ำตา มันย้อนกลับไปตอนที่เราเหนื่อยเราอดทนเพื่อสิ่งนี้ ผมตั้งใจพูดกับตัวเองเสมอว่าในวันที่ประกาศผลผมจะต้องร้องไห้แน่ ๆ แต่ผมจะไม่ร้องไห้เพราะความเสียใจ แต่เป็นการร้องไห้เพราะผมเป็นคนที่มีความสุขในวันนั้นมากต่างหาก ผมกระโดดกอดกับเพื่อนอีกหลาย ๆ คนที่ทั้งสมหวังและผิดหวังในคราวเดียวกัน
ผมตั้งใจที่จะร้องไห้ในวันนั้น และผมตั้งใจให้น้ำตาที่ไหลออกมามาจากความสุขที่สมหวัง ไม่ใช่จากความเสียใจที่ผิดหวัง
ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีใช่มั้ยครับ แต่จุดเริ่มต้นมันกำลังจะเปลี่ยนต่อจากนี้ต่างหากครับ อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันว่าผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วมันมีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เด็กสายวิทย์คนหนึ่งกลายมาเป็นทนายความ ในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้ทำคดีร้อยล้าน พันล้าน ก็ต้องติดตามเรื่องราวนี้กันต่อไปครับ ผมตั้งใจพยายามหาเวลามาเขียนบทความให้บ่อยขึ้นมากว่านี้ให้ได้ครับ แต่ช่วงนี้ผมอยู่ช่วงกำลังปูโครงสร้างของบริษัท และสถาบันที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ ในอนาคตจะได้มีการเล่าประสบการณ์พวกนี้ให้ฟังกันด้วยแน่ ๆ ครับ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ
ทนายเจบี
Comments